พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า - วนอุทยานเขานางพันธุรัต

พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า

     ลักษณะของป่าและพันธุ์ไม้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท  คือ

                   1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) มีลักษณะเป็นป่าโปร่งดินมีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำและมีหินปูนโผล่อยู่ทั่วไปชนิดพันธุ์ไม้ที่พบเห็นโดยทั่วไป ได้แก่ ไผ่รวก อ้อยช้าง มะเกลือ กระพี้จั่น งิ้วขันทองพยาบาท แจง ตะขบป่า ตะโก สลัดได เป็นต้น

                   2. ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) พบตามบริเวณหุบเขาและลำห้วยในพื้นที่วนอุทยานฯดินมีลักษณะดำความอุดมสมบูรณ์ของดินค่อนข้างสูงพันธุ์พืชที่พบเห็นโดยทั่วไปได้แก่ ข่อย ไทร กร่าง ถ่านไฟผี ไผ่ป่าแก้ว ป่าปีบ กระโดงแดง หมากเล็กหมากน้อย แสมสาร เป็นต้น

           สังคมพืชบริเวณพื้นที่แหล่งหินปูน ได้แบ่งออกเป็น 3 สังคมย่อย คือ สังคมพืชผลัดใบเขาหินปูน สังคมพืชไม่ผลัดใบเขาหินปูนและสังคมพืชแคระหนามเขาหินปูน มีรายละเอียดแต่สังคมดังนี้

                 สังคมพืชผลัดใบเขาหินปูน (Tropical mixed deciduous forest on karst area) ชนิดพืชที่เป็นลักษณะเด่นพบว่ามี ไผ่ป่า (Bambusa bambas) ไผ่ซาง (Dendrocalamus stictus) ขึ้นอยู่หนาแน่น  โดยไผ่ที่เห็นเป็นไผ่เป็นไผ่ที่มีขนาดลำเล็กกว่าในป่าเบญจพรรณ ถึงแม้ว่าเป็นชนิดเดียวกันตามพื้นที่ราบ ทั้งนี้มีต้นไผ่แคระแกร็นเนื่องจากชั้นดินตื้นและมีความชุ่มชื้นน้อย เฉพาะในช่วงสั้นฤดูฝนเท่านั้น เมื่อฤดูฝนผ่านไปเข้าสู่หน้าแล้งพืชหลายชนิดผลัดใบจนฤดูแห้งแล้งและเหี่ยวเฉา ชนิดไม้ต้นที่พบมีลำต้นมักคดโค้งทนแล้งได้ดี มีควาสูงเฉลี่ย 10–15 เมตร เช่น ปอต๊อก (Sterculiaurena var. thorelii) อ้อยช้าง (Albizia myriophylla Benth.) แจง (Merua siamensis) สมพง (Tetrameles nudiflora) ปออีเก้ง (Pterocymbium javanicum R.Br.)  ง้าว (Bombax ancepsvar. cambodiense) มหาพรหม (Mitrephora winitii) จันทน์หอม (Mansonia gagei)  ขณะที่ชนิดไม้ต้นเรือนยอดชั้นรองที่มีลำต้นความสูง 5–10 เมตร ชนิดไม้ชั้นรองมักแตกต่างไปตามสภาพพื้นที่ ชนิดไม้ที่พบได้แก่ จันทน์ผา (Dracaena Gaqnep.) จันทร์ขาว (D. cambodiana) และต้นสลัดไดป่า (Euphorbia antiquorum) และขี้เหล็กฤๅษี (Phyllanthus mirabilis) ฯลฯ ขึ้นสลับไปกับเถาวัลย์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น รางแดง (Ventilago denticulate) เล็บเหยี่ยว (Ziziphus oenoplia) ชิงช้าชาลี (Tinospora baenzigeri) บอระเพ็ด (T. crispa) เป็นต้น

                 สังคมพืชไม่ผลัดใบเขาหินปูน (Evergreen forest on karst area) ลักษณะสังคมพืชเช่นนี้พบทั่วไปในภาคใต้และบางพื้นที่ในเขตจังหวัดภาคตะวันตก เนื่องจากเป็นภูเขาหินปูนที่อยู่ทางภาคใต้ ของประเทศไทย ซึ่งมีฝนตกชุกเกินกว่า 1,600 มิลลิเมตรต่อปีขึ้นไปมีการกระจายของฝนอย่างต่อเนื่องมากกว่า 8 เดือนในรอบปี และด้วยความที่มีฝนตกชุกและยาวนานทำให้พืชพรรณได้รับความชุ่มชื้นเป็นเวลานาน จึงไม่จำเป็นต้องผลัดใบเหมือนเขาหินปูนที่อยู่ในบริเวณที่ปริมาณน้ำฝนน้อย  สภาพของสังคมพืชที่พบในสังคมย่อยประเภทนี้จะคล้ายคลึงกับป่าดิบแล้งมาก บางครั้งพบเป็นแนวสังคมพืชเชื่อมต่อเนื่องกับป่าดิบแล้งเป็นแนวอีโคโทน (Ecotone) ต่อกันระหว่างป่าดิบแล้งที่บริเวณเชิงเขาไม่สูงนัก ไม้ต้นส่วนใหญ่ที่พบมักไม่ผลัดใบในช่วงแล้งและมีความสูงมากกว่าสังคมพืชผลัดใบภูเขาหินปูน คือมีความสูง 15–20 เมตร ส่วนใหญ่มักจะพบอยู่บริเวณเชิงเขาอย่างเช่นไทรย้อยใบทู่ (Ficus microcarpa) ตะเคียนหิน (Hopea ferrea) กระเบาลัก (Hydnocarpus ilicifolius) และเลียบ (Ficus superba)  ชนิดไม้ต้นที่มีเรือนยอดชั้นรองมีความสูง 10–12 เมตร เช่น อีโด่ (Diospyros bejaudii) กลาย (Miterea hispida Dennst.) มหาพรม (M. winitii) และเถาวัลย์หลายชนิดที่ขึ้นปะปนเช่นเดียวกับสังคมพืชผลัดใบบนเขาหินปูน อาทิ ชิงช้าชาลี บอระเพ็ด เถาย่านาง และมีไม้พุ่ม เช่น ข่อยหนาม (Streblus ilicfolius) สลัดไดป่า จันทน์ผา และเล็บเหยี่ยว ฯลฯ ในบางครั้งอาจมีไผ่ป่าขึ้นกระจาย

                สังคมพืชแคระหนามเขาหินปูน (Thorn scrub forest on karst area) เนื่องจากหน้าผาหินปูน  ที่สูงชันเกือบตั้งตรงตามแนวดิ่งหรือตั้งตรง ซึ่งมีความลาดชันเกิน 60–100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุให้น้ำฝนกัดเซาะหน้าดินตามซอกหินออกไปตกในพื้นที่ซอกหินที่อยู่ต่ำกว่าทำให้เหลือเพียงแผนหินปูนล้วนๆ ยากที่พืชตามปกติจะขึ้นอยู่ได้ แต่ก็มีพืชบางชนิดที่สามารถแทรกตัวอยู่ได้ตามร่องรอยแตกของหินดังกล่าว อาทิ เลียบไกร (Ficus glaberrima) ฯลฯ มีการแตกรากให้ห้อยยาวไปยังบริเวณที่มีดินแทรกตัว สลัดไดป่า เป็นพืชทนแล้งใบลดรูปกลายเป็นหนาม จันทน์ผาแตกรากได้ดีในพื้นที่แล้ง ใบหนาลดการคายน้ำ พืชบางชนิดยังมีการลดขนาด ลำต้นให้แคระแกร็นลงเนื่องจากการถูกจำกัดด้วยธาตุอาหาร จนทำให้ไม้ชนิดดังกล่าวมีสภาพไม่แตกต่างไปจากไม้บอนไซ (Bonsai) โดยเฉลี่ยพบว่ามีต้นไม้สูงไม่เกิน ๑ เมตร เช่น ปอช้าง ขี้เหล็กฤๅษี นอกจากนี้ยังพบ ปรงผา (Cycasclivicola ssp. Clivicola) สังคมพืชลักษณะนี้ ดูเขียวครึ้มชัดเจนในฤดูฝน อย่างไรก็ตามสังคมพืชแคระหนามเขาหินปูน สามารถพบได้ทั้งประเภทผลัดใบและไม่ผลัดใบ ขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่ปกคลุมเป็นประเด็นสำคัญ  สำหรับหน้าผาในช่วงฤดูฝนส่วนใหญ่อาจพบพืชล้มลุกและเฟิร์น เช่น เหยื่อเลียงผา (Impatienspkerriae) กาบว่าว (Drynaria  quercifolia) ลิ้นกุรัม (Pyrrosi aeberhardtii) กีบม้าล้ม (P. piloselloides) เป็นต้น

 

ทรัพยากรสัตว์ป่า          

          ทรัพยากรสัตว์ป่าที่ปรากฏพบบริเวณเขานางพันธุรัต แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม มีรายละเอียดของกลุ่มต่างๆ ดังนี้

                    กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal) เช่น ค่างแว่นถิ่นใต้ (Trachypithecuspobscurus) เม่นใหญ่แผงคอยาว (Hystrix brachyuran) ลิงแสม (Macacapfascicularis) เสือปลา (Prionailurus viverrinus) ค้างคาวหน้ายักษ์หมอบุญส่ง (Hipposideros lekaguli ) ค้างคาวหน้ายักษ์สามหลืบ (Hipposiderosplarvatus) ค้างคาวมงกุฎมลายู (Rhinolophuspmalayanus) ค้างคาวปีกถุงเคราดำ (Taphozous melanopogon) ค้างคาวมงกุฎปลอมเล็ก (Rhinolophus coelophyllus) ค้างคาวมงกุฎจมูกยาวเล็ก (Rhinolophus pearsoni) เป็นต้น   

                     กลุ่มนก (Bird) พบสัตว์ป่ากลุ่มนกทั้งหมด 28 วงศ์  12 สกุล 45 ชนิด เป็นนกประจำถิ่น 38 ชนิด และนกอพยพ 7 ชนิด เช่น นกตะขาบทุ่ง (Coracias benghalensis) นกจับแมลงคอแดง (Ficedula albicilla) นกปรอดสวน (Pycnonotus blanfordi) นกกะรางหัวขวาน (Upupa epops) นกจับแมลงสีน้ำตาล (Muscicapa dauurica) นกยางควาย (Bublucus coromandus) นกเค้าจุด (Athene brama) นกจาบดินอกลาย (Pellorneum ruficeps) เป็นต้น             

                    กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน (Reptile) เช่น เต่าเหลือง (Indotestudo elongata) กิ้งก่าหัวสีฟ้า (Calotes mystaceus) เป็นต้น

                    กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (Amphibians) เช่น ปาดบ้าน (Polypedates leucomystax) อึ่งอ่างบ้าน (Kaloula pulchra) เป็นต้น