ประเทศไทย เมื่อครั้งยังเป็นสยามได้ชื่อว่า เป็นแหล่งท่ี่มีสัตว์ป่าชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่ง จนเป็นที่กล่าวขวัญของชาวต่างชาติที่เคยเดินทางเข้ามาในสมัยนั้น และยังปรากฏในรายงานบันทึกเก่า ๆ ด้วยว่า ประเทศไทยได้ส่งงาช้างและนอแรดเป็นสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศปีละมาก ๆ
ในอดีตการล่าสัตว์ป่าในชนบทกระทำกันเป็นปกติและจัดเป็นเกมกีฬาของคนเมืองที่จะใช้เวลาพักผ่อนจากการทำงานประจำด้วยการล่าสัตว์ขนาดใหญ่ เพื่อเอาอวัยวะเช่น ตัว เขา หรือหนังสัตว์ มาใช้เป็นเครื่องประดับเลียนแบบคนร่ำรวยในแถบยุโรป
หลังจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อาวุธปืน และเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนยานพาหนะสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ ได้พัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะอาวุธปืน กระสุนปืน และรถจิ๊ปขนาดต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งเหลือใช้จากสงครามจำนวนมาก ปืนดังกล่าวมีอานุภาพในการล่าสัตว์ใหญ่มากขึ้น รถจิ๊ปก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้เดินทางในถิ่นทุรกันดารได้ไกลขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้นักล่าสัตว์สามารถอยู่ในป่าได้ครั้งละนาน ๆ สัตว์ป่าจำนวนมากจึงถูกล่าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับจำนวนประชากรของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จึงมีการขยายพื้นที่เกษตรกรรม โดยวิธีบุกรุกพื้นที่ป่า ทุ่งหญ้า อันเป็นแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร และถิ่นอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด
สัตว์ป่าหลายชนิดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และบางชนิดต้องสูญพันธุ์ไป เช่น สมัน ซึ่งถือกันว่าเป็นกวางที่มีเขาสวยงามที่สุดในโลก ทั้่งยังพบได้เพียงประเทศไทยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าพื้นเมืองของไทยอีกหลายชนิดกำลังอยู่ในภาวะล่อแหลมที่จะสูญพันธุ์
เมื่อเกิดการล่าสัตว์ป่าอย่างกว้างขวาง ได้มีคนกลุ่มหนึ่งมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงรวมกันจัดตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้น ในปี พ.ศ. 2493 สมาคมนี้พยายามรณรงค์เพื่อรักษาชีวิตสัตว์ป่าทุกรูปแบบ ทั้งด้านสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ป่า โดยเป็นบทความที่เขียนขึ้นเองและบางส่วนแปลจากภาษาต่างประเทศ ตลอดจนการจัดรายการวิทยุ การพูดคุยในที่ชุมชนต่าง ๆ จนทำให้เกิดกระแสความเคลื่อนไหวขึ้นระดับหนึ่ง ในที่สุดผู้นำของสมาคมได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลดำเนินการออกกฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่า รวมทั้งจัดตั้งอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติแห่งแรก คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2505
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรก คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2508
แม้ว่าประเทศไทย จะมีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ป่ามาเป็นเวลานานแล้ว นั่นคือ พระราชบัญญัติการรักษาช้างป่า ร.ศ.119 (พ.ศ. 2443) แต่ก็เป็นการรักษาช้างป่าเพียงชนิดเดียว ดังนั้น เมื่อเห็นว่าเกิดภาวะอันน่าวิตกว่าสัตว์ป่าหลายชนิดที่กำลังจะสูญพันธุ์ รัฐบาลในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงได้ตรากฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าขึ้น โดยสมเด็จพระศรีนริทราบรมราชชนี เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงลงพระนามในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2503 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2504 เป็นต้นไป
เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้คือ สัตว์ป่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่ายิ่งของประเทศชนิดหนึ่งที่อำนวยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ วิทยาการ และรักษาความงาม ตลอดจนคุณค่าตามธรรมชาติไว้ แต่ปรากฏว่า ในปัจจุบันสัตว์ป่าที่มีค่าบางชนิดได้ถูกล่าและทำลายจนสูญพันธุ์ไปแล้ว และบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ไป ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายให้ความคุ้มครองสัตว์ป่าขึ้นไว้เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลและประชาชนส่วนรวม
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ยังถือกำเนิดวันสำคัญอีกวันหนึ่งด้วย นั่นคือ วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2511 โดยนายแพทย์ บุญส่ง เลขะกุล ได้ยื่นหนังสือของนิยมไพรสมาคม เพื่อขอความเห็นชอบจาก ฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศให้วันที่ 26 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ และ ฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้อนุญาตให้จัดงานวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุก ๆ ปี ในวันที่ 26 ธันวาคม จึงมีการจัดกิจกรรมขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรสัตว์ป่า ทั้งยังเป็นการระลึกถึงจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์สัตว์ป่าในเมืองไทยอีกด้วย
.
จุดกำเนิดสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า :
ปี 2504 กรมป่าไม้ ได้จัดตั้ง "หมวดสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า" ขึ้น โดยอยู่ในสังกัดกองบำรุง ให้มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นการเฉพาะ
ปี 2510 กรมป่าไม้ได้เปลี่ยนชื่อเดิม เป็น "ฝ่ายจัดการสัตว์ป่าแห่งชาติ" โดยอยู่ในสังกัดกองบำรุง
ปี 2516 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอรัฐบาลให้จัดตั้ง "กองอนุรักษ์สัตว์ป่า"
ปี 2518 ถือกำเนิด "กองอนุรักษ์สัตว์ป่า" อย่างเป็นทางการ โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 15 เล่มที่ 92 ตอนที่ 32 ลงวันที่ 12 ก.พ. 2518
ปี 2532 เปลี่ยนชื่อจากกองอนุรักษ์สัตว์ป่า เป็น "ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า" สังกัดสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ปี 2545 มีการปฏิรูประบบราชการ ถือกำเนิด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ย้ายมาสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติฯ และจัดตั้งเป็น "สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า" จวบจนปัจจุบัน
สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางด้านป่าไม้และสัตว์ป่าให้คงอยู่ ดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายสัตว์ป่า โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น เพื่อตราเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และรักษาแหล่งสัตว์ป่าที่สำคัญ โดยออกเป็นประกาศกระทรวง กำหนดให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายในการคุ้มครองป้องกันปราบปราม ป้องกันการบุกรุกทำลายป่าที่อยู่อาศัย ทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร รักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ส่งเสริมให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ การทัศนศึกษา และการส่งเสริมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ปลูกฝังให้เยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป มีจิตใจรักษาป่า มีความรู้ทางด้านป่าไม้และสัตว์ป่า โดยอาศัยของจริงที่มีอยู่ในป่าเป็นอุปกรณ์ในการเรียนรู้ สนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์สัตว์ป่าทั้งภายในประเทศและนานาชาติ จัดตั้งศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่า สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า สถานีวิจัยสัตว์ป่า โดยมีจุดประสงค์เพื่อการค้นคว้าวิจัยเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์ป่า ทั้งนี้ เพราะว่าผลการค้นคว้าวิจัยเป็นข้อมูลพื้นฐานของการจัดการสัตว์ป่า และการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยกาค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์
ปัจจุบันสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ตั้งอยู่ที่ :
อาคารสืบนาคะเสถียร ชั้น 5-6 ภายในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เลขที่ 61 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900