ประวัติความเป็นมาของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา)
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ตั้งอยู่ ณ ที่ดินราชพัสดุมหาดไทย เลขที่ 16 ถนนสุขุมวิท อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ห่างจากอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 25 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางทิศตะวันออก ระยะทาง 70 กิโลเมตร เดิมเรียกว่า “ที่ทำการป่าไม้เขตปราจีนบุรี” มีจังหวัดในความควบคุม 7 จังหวัด คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และนครนายก สถานที่ตั้งอาคารที่ทำการในระยะแรกได้สร้างขึ้นที่ เลขที่ 16 ถนนเจิมจอมพล ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตัวอาคารที่ทำการยื่นลงไปในทะเลบริเวณด้านหลังสวนสาธารณะเกาะลอยในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2495 ได้มีการประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2495 เรื่อง การจัดตั้งป่าไม้เขตในกรมป่าไม้ เนื่องจากในขณะนั้น ป่าไม้มีอยู่ 12 เขต แต่ละเขตมีอาณาเขตและท้องที่ในความควบคุมรับผิดชอบกว้างขวางเกินไป ทำให้ไม่สามารถตรวจตราควบคุมการปฏิบัติงาน และดำเนินการได้อย่างทั่วถึง จึงประกาศให้ยุบเลิกป่าไม้เขต 12 เขต และตั้งขึ้นใหม่เป็น 21 เขต ทำให้สำนักงานป่าไม้เขตปราจีนบุรี ได้ถูกแบ่งเป็น 2 เขต คือ ป่าไม้เขตปราจีนบุรีและป่าไม้เขตชลบุรี โดยมีป่าไม้เขตชลบุรี เหลือจังหวัดในความควบคุมเพียง 5 จังหวัด คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และสมุทรปราการ และมีสถานที่ตั้งที่ทำการอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เช่นเดิม
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2496 ได้ย้ายที่ทำการจากเดิมที่ยื่นลงไปในทะเล บริเวณด้านหลังสวนสาธารณะเกาะลอยขึ้นมาตั้ง ณ ที่ดินราชพัสดุมหาดไทย จังหวัดชลบุรี เลขที่ 16 ถนนสุขุมวิท อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา ลักษณะอาคารทรงมะนิลาชั้นเดียวเสริมคอนกรีตฝาไม้ หลังคามุงกระเบื้อง กว้าง 14 เมตร ยาว 30 เมตร ซึ่งเป็นอาคารที่กรมป่าไม้ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2501 ได้มีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 26 เมษายน 2501 เรื่อง เปลี่ยนชื่อป่าไม้เขตชลบุรี เป็น ป่าไม้เขตศรีราชา โดยมีเหตุผลว่า เนื่องจากที่ทำการป่าไม้เขตชลบุรี ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่า ชื่อที่ทำการนั้นไม่ตรงกับสถานที่ตั้ง เป็นเหตุให้ประชาชนและส่วนราชการอื่นๆ เข้าใจสับสนว่า ที่ทำการป่าไม้เขตชลบุรีนั้น ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองชลบุรี จึงให้เปลี่ยนชื่อที่ทำการป่าไม้เขตชลบุรี เป็นที่ทำการป่าไม้เขตศรีราชา และให้มีจังหวัดในความควบคุม 4 จังหวัดภาคตะวันออกของประเทศไทย คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปี พ.ศ. 2518 ได้มีพระราชกฤษฎีการแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) ให้เปลี่ยนคำว่า “ที่ทำการป่าไม้เขต” เป็น “สำนักงานป่าไม้เขตศรีราชา” ตั้งแต่นั้นมา
ปี พ.ศ. 2535 ได้มีพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2535 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 109 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ได้จัดส่วนราชการกำหนดให้มีสำนักงานป่าไม้เขต 21 เขต เช่นเดิม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 กรมป่าไม้ได้จัดสรรเงินงบประมาณให้สำนักงานป่าไม้เขต ศรีราชา ดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานหลังใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 2 ชั้น พื้นที่ 900 ตารางเมตร ซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2541 และได้ทำการเปิดอาคารสำนักงานป่าไม้เขตศรีราชา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
ปี พ.ศ. 2547 ได้มีกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2547 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 121 ตอนพิเศษ 26 ก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ได้จัดส่วนราชการกำหนดให้มีสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 – 16
ตราสัญลักษณ์ประจำสำนักสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา)
ความหมายของตราสัญลักษ์
นัยยะที่ 1 รูปดวงตะวันคาบฟ้าเหลืองทอง หมายถึงรุ่งอรุณวันใหม่ หรือแสงแรกแห่งแผ่นดินตะวันออก สื่อความหมายถึง ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ ในการร่วมกันพิทักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติของแผ่นดิน
นัยยะที่ 2 รูปขุนเขาสีเทาเข้มเสียดฟ้า หมายถึงยอดเขาสอยดาวใต้ที่โดดเด่นและสูงสุดแห่งภูมิภาคตะวันออก
นัยยะที่ 3 สีเขียวเข้ม เขียวอ่อน หมายถึงความอุดมสมบูรณ์หลากหลายของสังคมพันธุ์พืช พรรณไม้ แห่งผืนป่าตะวันออก
นัยยะที่ 4 สีฟ้า หมายถึง ความบริบูรณ์ หลากหลายแห่งสายน้ำ ที่มีต้นกำเนิดจากป่า และหมายถึงภาคพื้นทะเลตะวันออกบางส่วน ที่อยู่ในความพิทักษ์รักษาของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา)
นัยยะที่ 5 สีน้ำตาลดำ หมายถึงแผ่นดินอันอุดมดี ที่ยังประโยชน์ โอบเอื้อ ต่อการดำรงอยู่ของผู้คน และสังคม บนแผ่นดินตะวันออก
นัยยะที่ 6 รูปช้างป่า ในท่วงท่าเคลื่อนไหว หมายถึง ความโดดเด่นแห่งเรื่องราวที่เล่าขาน ว่าดินแดนแห่งนี้คือผืนป่าระดับตำนาน ที่เป็นถิ่นฐานของคชสาร ผู้มีคุณูปการต่อความอยู่รอดปลอดภัยของชนชาติไทยสืบมา